King of Gods ราชันเทพเจ้า : บทที่ 25: ศิษย์สายนอกอันดับแรก (2)


บทที่ 25: ศิษย์สายนอกอันดับแรก (2)

“พลังภายใน!”
เฮือก!
เสียงลมหายใจเย็นเยียบดังขึ้นจากทั่วทั้งลานฝึกซ้อม ทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
ผู้ตัดสินที่มีเคราสีขาวลุกขึ้นพร้อมพึมพำ
“อายุ 14 แต่กลับสำนึกรู้ในพลังภายในแล้ว สามารถกล่าวได้เลยว่าเขาคงสามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนได้อย่างง่ายดาย พรสวรรค์ของเขานับว่าเทียบเท่าได้กับจ้าวหลินหลง!”
ความสนใจของผู้คนกลับไปรวมกันที่จ้าวเฟิงอีกครั้ง เขาคือราชาคนใหม่ของศิษย์สายนอก
เด็กหนุ่มมองไปยังหมัดของตนด้วยสายตาเหลือเชื่อ เขาเห็นว่าแขนของจ้าวยี่จางหัก รวมทั้งดาบที่หักเป็นสองส่วนนั่น…
เขากระทั่งยั้งมือไว้ หากไม่เช่นนั้นอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายคงไม่เป็นเพียงแค่แขนหัก อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของแขนข้างนั้นย่อมพิการไป และคู่ต่อสู้เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นสามธรรมดา หมัดนี้ก็คงปลิดชีวิตอีกฝ่ายไปแล้ว
“นี่คือพลังของพลังภายใน”ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้านอย่างตื่นเต้น
เหล่าศิษย์ด้านล่างจ้องมองจ้าวเฟิงด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้พวกเขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างผู้เรียนรู้การฝึกตนและผู้ฝึกตนที่แท้จริงแล้ว
“จ้าวเฟิงชนะ!” ผู้ตัดสินมองไปยังเด็กหนุ่มด้วยสายตาลึกล้ำ แม้ว่าเขาจะเข้าข้างจ้าวยี่จาง จ้าวเฟิงก็ยังคงชนะอยู่ดี
มันไม่ใช่เพียงแค่ชนะ แต่เป็นการชนะด้วยพลังที่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิง!
“เจี้ยนเอ๋อร์!” จ้าวเทียนเจี้ยนร้องออกมาก่อนปรากฏตัวขึ้นข้างกายของบุตรชาย ความเร็วของเขานั้นมากเสียจนผู้คนรอบข้างเห็นเพียงภาพเลือนราง
“ความเร็วอันใดกัน!” จ้าวเฟิงคาดว่าบิดาของจ้าวยี่จางอาจเป็นผู้ฝึกตนขั้นหกแล้ว
ขั้นหกแห่งหนทางของผู้ฝึกตนนั้นนับเป็นขั้นสุดยอดของผู้ฝึกตน เมื่อทะลวงขึ้นไปสูงกว่านั้นจะกลายเป็นจอมยุทธ์
“ข้าแพ้… ข้าไม่เชื่อ…”จ้าวยี่จางไม่อาจรู้สึกถึงแขนข้างซ้ายของตนได้
“เรียกหมอมา!” จ้าวเทียนเจี้ยนสังเกตเห็นแขนของบุตรชายที่มีโอกาสจะพิการก่อนร้องตะโกนขึ้น
“เจ้าเด็กเหลือขอ! นี่หมายความว่าอันใดกัน?” นัยน์ตาของจ้าวเทียนเจี้ยนปรากฎความมาดร้ายขึ้นในขณะที่มองไปยังจ้าวเฟิง
กลิ่นอายของผู้ฝึกตนขั้นหกนั้นสร้างความกดดันให้กับจ้าวเฟิงเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับอากาศนั้นเย็นเยียบ ทุกคำพูดของเขาต้องใช้พลังงานอย่างมาก แต่เขายังโชคดีที่มีพลังภายในไว้ต่อต้านรังสีอำมหิตของอีกฝ่าย
เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!
แสงสีเขียวซีดที่อยู่ภายในดวงตาซ้ายของเขาที่เคยมีขนาดเพียง 3.9 ฟุต เริ่มขยายออกไปเป็น 4 ฟุต…
ภายใต้ความกดดันนั้น พลังการฝึกตนของเด็กหนุ่มก็เพิ่มมากขึ้น
“เยี่ยม! บัดนี้ข้าก็มีคุณสมบัติในการทะลวงเข้าขั้นสี่แล้ว!” จ้าวเฟิงหัวเราะ
หลังจากที่ผ่านการประลองรุนแรงเมื่อครู่ และตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของจ้าวเทียนเจี้ยน ทั้งสองล้วนช่วยเพิ่มพลังการฝึกตนของเขา
ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ของเด็กหนุ่มไม่สามารถเล็ดรอดสายตาของชายวัยกลางคนไปได้
จะปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ไม่ได้!
จ้าวเทียนเจี้ยนรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นอุปสรรคสำหรับเขา
“เจ้าเด็กเหลือขอ เป็นเพียงแค่ศิษย์ตระกูลสาขาต่ำต้อย เพื่อเป็นการลงโทษที่เจ้าทำร้ายแขนของบุตรข้า ข้าจะเอาพลังฝึกตนไปจากเจ้า”
ฟุ่บ!
ร่างของจ้าวเทียนเจี้ยนพุ่งเข้าหาจ้าวเฟิงในพริบตา
ไม่ดีแน่!
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงอันตรายที่แผ่มายังร่างของเขา
โชคดีที่เขาระวังตัวอยู่ตลอด พลังที่สองในร่าง(TL: คิดว่าเป็นพลังภายในนะคะ)ควบรวมกันภายในร่างกายของจ้าวเทียนเจี้ยนถูกเห็นโดยดวงตาซ้ายของเขา
ปึก!
จ้าวเฟิงใช้ท่าเท้านภาลอยล่องจนถึงขีดสุดโดยไม่ต้องคิด เขากระโดดขึ้นไปสูงกว่าสิบเมตรและเกือบจะหลบการโจมตีของอีกฝ่ายไม่พ้น ทว่าเขารู้ว่านี่เป็นเพียงโอกาสเดียวที่เขาจำต้องหลบ
เมื่อโจมตีพลาด ชายวัยกลางคนก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“ตาย!”
เขาใช้ท่าเท้าของตนในการไล่ล่าจ้าวเฟิง
“เหยียบนภา!” จ้าวเฟิงกระโดดสองครั้งในอากาศก่อนมุ่งหน้าไปหาเหล่าผู้ที่มีตำแหน่งสูงในพรรค
เขารู้ว่าจ้าวเทียนเจี้ยนนั้นครองเพียงตำแหน่งระดับกลางในพรรค และพวกระดับสูงของพรรคย่อมไม่ยอมให้การฝึกตนของจ้าวเฟิงถูกทำลายลงต่อหน้าเป็นแน่
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงวิ่งเข้าไปหาเป้าหมายของเขาด้วยความเร็วสูงสุด
“กรอด! ไอ้เด็กนี่…” จ้าวเทียนเจี้ยนเข้าใจถึงความต้องการของเด็กหนุ่มในทันที
“จ้าวเทียนเจี้ยน! หยุด!” เสียงหนักแน่นที่ดังราวฟ้าผ่าดังขึ้น พร้อมกันนั้นกลิ่นอายทรงพลังก็รวมตัวเหนือศีรษะ เขาคือชายชราเคราสีขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจ้าวเทียนเจี้ยน
ไม่ดีแล้ว! ผู้ตัดสินหลัก!
จ้าวเทียนเจี้ยนรู้ว่าผู้ตัดสินหลักนั้นเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นเจ็ดหรือสูงกว่า ทว่าจ้าวเฟิงอยู่เบื้องหน้าเขา! เขาไม่ต้องการปล่อยมันไปเช่นนี้! จ้าวเทียนเจี้ยนกัดฟันกรอดในขณะที่เผชิญหน้ากับผู้อาวุโส
“นั่ง!”
มือที่มองไม่เห็นตะปบลง
เปรี้ยง!
จ้าวเทียนเจี้ยนรู้สึกได้ว่าพลังของเขาหายไปพร้อมกับที่กระอักโลหิตออกมา
โจมตีผ่านอากาศ! แข็งแกร่งอันใดเช่นนี้!
ชัดเจนว่าผู้ตัดสินหลักนั้นเชี่ยวชาญในพลังปราณ ซึ่งเป็นพลังภายในขั้นสูง
“ผู้อาวุโส! จ้าวเฟิงนั่นทั้งร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ยิ่ง! เขาหักแขนบุตรชายข้า! ท่านจะไม่ลงโทษเขาได้อย่างไร?” จ้าวเทียนเจี้ยนกึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น เอ่ยขึ้นด้วยความหวาดกลัว
“ฮึ่ม! ผู้ใดกันที่ร้ายกาจ? ตอนที่จ้าวเฟิงโจมตีนั้นเขาทำกระทั่งลดทอนพลังลง หรือไม่เช่นนั้นอาการบาดเจ็บของบุตรเจ้าคงไม่ธรรมดาเช่นนั้น! แขนของเด็กนั่นคงพิการไป หรือไม่เช่นนั้นก็คงตาย!” ชายชราเอ่ย
จ้าวเทียนเจี้ยนเข้าใจในบัดนั้น
“เหตุใดจึงไม่ไปช่วยบุตรชายของเจ้ากันล่ะ” ผู้ตัดสินเคราขาวโบกมือก่อนออกจากลานประลองไป
จ้าวเฟิงคลายหมัดที่ชื้นเหงื่อออกพร้อมมองไปยังชายชราอย่างตื้นตัน อีกฝ่ายดูเหมือนจะรับรู้ถึงสายตานี้เขาจึงส่งยิ้มกลับพร้อมด้วยแววตาชื่นชม
ความวุ่นวายนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการประลองรอบต่อๆ ไป
“เขาเอาชนะจ้าวยี่จาง…” ใบหน้าของจ้าวซุ่ยแข็งค้าง นางรู้สึกราวกับร่วงหล่นจากสวรรค์ลงสู่นรก
ในสายตาของนางนั้น ร่างที่คุ้นเคยนั่นกลายเป็นราชาของศิษย์สายนอกไปแล้ว
บัดนี้จ้าวเฟิงกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของศิษย์สายนอกอย่างไม่ต้องสงสัย
70ครั้ง …71ครั้ง…
สถิติของเด็กหนุ่มยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คู่ต่อสู้ของเขาส่วนมากจะยอมแพ้ทันทีที่พบหน้า
กระทั่งเมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวเยว่ เด็กหนุ่มก็เพียงใช้พลังภายในในการเจาะการป้องกันของอีกฝ่ายในเสี้ยววินาที
พลังของจ้าวเฟิงนั้นไม่ได้อยู่ในขั้นเสมือนผู้ฝึกตนอีกต่อไปแล้ว มันอยู่ในขั้นครึ่งก้าวแห่งผู้ฝึกตน! ครึ่งก้าวแห่งผู้ฝึกตนนั้นคือเมื่อคนผู้หนึ่งสามารถโคจรพลังภายในและมีพลังขั้นเสมือนผู้ฝึกตนในเวลาเดียวกัน เมื่อถึงตอนนั้นก็ราวกับว่าเข้าขั้นสี่ไปแล้ว
ทว่ากลับมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
จ้าวหยูเฟ่ยยังคงมีสถิติอันสมบูรณ์แบบ
การประลองที่ 80 ของนาง คู่ต่อสู้คือจ้าวเยว่
“ฝ่ามือผีเสื้อ!” จ้าวหยูเฟ่ยตวาดขณะที่ฝ่ามือราวทำจากหยกของนางส่งพลังรุนแรงออกมา
แคร่ก!
กายาเหล็กของจ้าวเยว่พังลงอีกครั้ง
“โอ้สวรรค์! พลังภายในอีกแล้ว!”
ไม่มีใครคิดว่าจะมีผู้อื่นใดที่สามารถสำนึกรู้ในพลังภายในได้นอกจากจ้าวเฟิง
“น่าสนใจ!” ผู้ตัดสินหลักเผยรอยยิ้มบาง
ทว่าสีหน้าของจ้าวเฟิงกลับไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเห็นเด็กสาวใช้พลังภายใน
เขาเห็นพลังภายในที่หลบซ่อนอยู่ในร่างอีกฝ่ายตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว
วันนั้นที่ผู้แนะทางได้แนะทางให้พวกเขา ศิษย์สายนอกหลายคนได้สำนึกรู้บ้างไม่มากก็น้อย โดยมีจ้าวเฟิงได้รับมากที่สุด
นั่นเป็นเพราะความช่วยเหลือจากนัยน์ตาซ้ายของเขา และการที่เขาฝึกวิชาลมหายใจผลักวายุจนถึงขั้นสุดยอดของระดับสาม
ดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงสามารถโคจรพลังภายในได้เป็นคนแรก
ในขณะเดียวกัน จ้าวหยูเฟ่ยสำเร็จหลังจากเขาครึ่งเดือน
“ดูเหมือนว่าอันดับหนึ่งจะยังไม่ถูกตัดสิน”
เหล่าฝูงชนต่างคาดหวังให้ทั้งสองปะทะกันเอง
ในที่สุด เมื่อทั้งสองชนะการประลองที่ 90 พวกเขาก็เผชิญหน้ากัน
“เริ่มได้”
แม้ว่าจ้าวหยูเฟ่ยจะมีพลังภายใน แต่จ้าวเฟิงก็ไม่ได้หวาดกลัว
“ข้ารู้ว่ามันยังคงมีความแตกต่างระหว่างข้ากับเจ้า… แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้” จ้าวหยูเฟ่ยเผยรอยยิ้มที่ราวกับดอกไม้ผลิบานออกมา
“หมัดมังกรคลั่ง!” จ้าวเฟิงเริ่มต้นด้วยวิชาระดับกลางขั้นสุดยอดของเขา
สาเหตุที่เขาสามารถเอาชนะจ้าวยี่จางได้อย่างเด็ดขาดนั้นไม่ใช่เพียงแค่พลังภายใน แต่รวมทั้งหมัดมังกรคลั่งของเขาที่เข้าขั้นสุดยอดแล้ว พลังของมันเหนือกว่าวิชาระดับสูงที่ถูกฝึกจนเข้าขั้นต่ำ
นอกจากนั้น หมัดมังกรคลั่งของเด็กหนุ่มเองก็ใกล้จะเข้าขั้นหลอมรวมแล้วเช่นกัน
หากหมัดมังกรคลั่งเข้าขั้นหลอมรวม มันย่อมง่ายที่จะเอาชนะเหนือคมดาบเหมันต์ที่ถูกฝึกจนเข้าขั้นสูง
เพี้ยะ! เพี้ยะ!
ทั้งสองปะทะกัน
เช่นที่คาด จ้าวหยูเฟ่ยไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าจ้าวเฟิง
อย่างไรก็ตาม จ้าวเฟิงนั้นมีพื้นฐานพลังภายในที่แข็งแกร่งกว่าและความเร็วที่เหนือกว่า แม้ว่าจ้าวหยูเฟ่ยจะมีวิชาท่าเท้าระดับสูง แต่มันก็ไม่อาจเหนือไปกว่าความเร็วของนภาลอยล่องของเด็กหนุ่ม
การโจมตีของจ้าวเฟิงเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ร่างกายของจ้าวหยูเฟ่ยเริ่มแดงก่ำเมื่อนางรู้สึกได้ว่าพลังของนางกำลังจะหมดลง
โอกาสดี!
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงมองเห็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายพร้อมกับที่หมัดของเขาปะทะเข้ากับหัวไหล่ของอีกฝ่าย
“ขอบคุณที่ออมมือ” ร่างของจ้าวหยูเฟ่ยสะท้านขึ้นก่อนที่นางจะพลิกตัวลอยขึ้นบนอากาศและกลับลงมายังพื้นดิน
หมัดของจ้าวเฟิงนั้นถูกจำกัดพลังไว้อย่างชัดเจน หรือไม่เช่นนั้นนางคงมีจุดจบที่ไม่ต่างจากจ้าวยี่จาง
“ไม่มีปัญหา” จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้ม เขาชอบนิสัยของอีกฝ่ายนัก
หลังจากที่เอาชนะจ้าวหยูเฟ่ย ก็ไม่เหลือผู้ใดที่พอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีก คู่ต่อสู้ของเขาทุกคนยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี
“ข้ายอมแพ้!”
“ข้ายอมแพ้!”
ครึ่งชั่วโมงถัดมา จ้าวเฟิงก็ประลองครั้งที่หนึ่งร้อยเสร็จสิ้น และเขาก็ได้รับอันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์สายนอกไปอย่างง่ายดายด้วยแต้มของเขา

King of Gods ราชันเทพเจ้า : บทที่ 24 : ศิษย์สายนอกอันดับแรก (1)


บทที่ 24 : ศิษย์สายนอกอันดับแรก (1)

เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดดูถูกของอีกฝ่าย จ้าวเฟิงก็ทำเพียงแย้มรอยยิ้มบาง แม้ว่าจ้าวยี่จางจะแข็งแกร่ง แต่เขากลับมีนิสัยหยิ่งยโสยิ่ง นั่นหมายความว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะพูดคุยกับอีกฝ่าย มีเพียงแค่การกระทำเท่านั้นที่จะเอ่ยคำพูดของเขาได้ดีที่สุด
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ตอบอันใด แต่ท่าทางของเขากลับคล้ายเป็นเข็มที่ทิ่มแทงนัยน์ตาของจ้าวยี่จาง
ฝูงชนผงะไป จ้าวยี่จางนั้นว่าจองหองแล้ว แต่ ‘ความเงียบ’ ของจ้าวเฟิงนั้นกลับทำมากกว่าคำพูดเหล่านั้นเสียอีก
“ไอ้หนู หากเจ้าไม่พูดในตอนนี้ เจ้าคงจะไม่มีโอกาสได้พูดแล้ว” จ้าวยี่จางเอ่ยเสียงหนัก
ชิ้ง!
ดาบของเขาเปล่งประกายต่อหน้าจ้าวเฟิง
จ้าวยี่จางเริ่มต้นด้วยวิชาคมดาบเหมันต์ แม้ว่าเขาจะยโส แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าพลังของอีกฝ่ายนั้นอยู่ในขั้นเสมือนผู้ฝึกตน ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงทุ่มสุดตัวตั้งแต่เริ่ม
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่มาจากดาบนั้น
ฟุ่บ!
คมดาบนั้นห่างจากไหล่ของจ้าวเฟิงเพียงแค่ครึ่งนิ้ว
“เป็นทักษะขั้นสูงอันใดเช่นนี้! ข้าเห็นเพียงแค่ภาพติดตาเท่านั้น!”
หากเขามีพลังเพียงแค่ขั้นเสมือนผู้ฝึกตน เขาย่อมไม่อาจรับวิชาระดับสูงเช่นนั้นได้แม้แต่ครั้ง
จ้าวเฟิงไม่คิดว่าพลังป้องกันของเขาจะมากกว่าจ้าวเยว่
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงถอยร่นออกจากอีกฝ่ายด้วยร่างกายที่เบาราวกับใบไม้
ในด้านของการโจมตีนั้นเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย นอกเสียจากว่าเขาจะเรียนรู้วิชาเสริมร่างกายเช่นจ้าวเยว่
“จะหนีไปไหน!” จ้าวยี่จางกระโดดเข้าหาก่อนใช้คมดาบเหมันต์จากกลางอากาศ
ไม่ว่าจ้าวเฟิงจะพยายามหลบเท่าใด ความเย็นนั้นก็ยังคงไล่ตามเขาไป
“ไม่น่าแปลกเลยที่มันเข้าขั้นสูงของวิชาระดับสูง!” จ้าวเฟิงคิดอย่างเงียบงัน เขารู้ว่าแม้หมัดมังกรคลั่งของเขาจะเข้าขั้นสุดยอด แต่มันก็ไม่อาจเทียบได้กับคมดาบเหมันต์ของอีกฝ่าย
“ระเบิดหิมะ!”
การเคลื่อนไหวของจ้าวยี่จางแปรเปลี่ยนไปกะทันหัน คมดาบมุ่งเข้าหาจุดที่จ้าวเฟิงจะลงพื้น
ไม่ดีแล้ว!
จ้าวเฟิงนั้นอยู่กลางอากาศ และเมื่อเขาถึงพื้นย่อมไม่มีทางหลบการโจมตีของจ้าวยี่จางได้แน่นอน
“คมดาบเหมันต์อันใดกัน! เขาสามารถใช้การโจมตีล่วงหน้าได้ทั้งที่ยังไม่เข้าสู่ขั้นสี่แห่งหนทางผู้ฝึกตน!”
“ดูเหมือนว่าการประลองจะถูกตัดสินแล้ว!” เหล่าผู้อาวุโสที่ชมการประลองอยู่เอ่ยชื่นชม
“ลงมา!” เพลงดาบระเบิดหิมะของจ้าวยี่จางส่งคลื่นพลังวุ่นวายไปยังส่วนล่างของร่างกายคู่ต่อสู้
“เหยียบนภา!” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกในขณะที่ควบรวมโลหิต กระโดดอีกครั้งกลางอากาศ
ปึก!
ร่างกายของเขาหลุดออกจากแรงโน้มถ่วงในขณะที่กระโดดข้ามการโจมตีของจ้าวยี่จาง
มัน… เป็นไปได้อย่างไร?
จ้าวยี่จางจ้องมองตรงไปด้วยสายตาว่างเปล่าเมื่อเห็นอีกฝ่าย ‘กระโดด’ ข้ามการโจมตีของเขาไป
“อันใดกัน! จ้าวเฟิงฝึกฝนวิชานภาลอยล่องถึงเพียงนี้แล้วรึ!” ผู้ตัดสินหลักเอ่ยชมขณะลูบเคราของเขา
“เหยียบนภา! มันเป็นกระบวนท่าสุดท้ายของท่าเท้านภาลอยล่อง เขาทำได้อย่างไร?” ผู้ฝึกตนที่เคยฝึกฝนวิชาเดียวกันอุทานออกมาในขณะที่กระเด้งตัวลุกขึ้นด้วยความตะลึง

บนลานประลอง
จ้าวเฟิงวิ่งหนี ในขณะที่จ้าวยี่จางพยายามไล่ตาม ไม่นานเพลงดาบคมดาบเหมันต์ของเด็กหนุ่มก็เข้าใกล้ขั้นสูง พลังโจมตีและความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จ้าวเฟิงเองก็ไม่ได้ย่ำแย่เช่นกัน วิชานภาลอยล่องนั้นทำให้ร่างของเขาเบาราวกับขนนก และแม้ว่าเขาจะดูเหมือนแทบจะไม่สามารถหลบคมดาบเหล่านั้นได้ แต่ดาบเหล่านั้นเองก็ไม่สามารถสัมผัสเขาได้แม้กระทั่งชายเสื้อ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ในขณะที่จ้าวเฟิงวิ่งอยู่นั้น เขาก็พยายามหาจุดอ่อนของวิชาอีกฝ่ายเพื่อที่เขาจะสามารถตอบโต้ได้
ทว่าเขาก็สำนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่แม้กระทั่งจะเข้าใกล้อีกฝ่ายได้ หรือไม่เช่นนั้นเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของอีกฝ่าย หมัดมังกรคลั่งของเขาไม่สามารถแม้กระทั่งรับคมดาบของอีกฝ่ายได้
หากเขาลองรับสักครั้ง เขาย่อมบาดเจ็บ
“หรือว่าข้าต้องใช้…” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกขณะที่พลังภายในเริ่มไหลเวียน แต่ไม่ช้าก็หายไป
เขาปกปิดพลังภายในของเขาด้วยวิชาซ่อนลมหายใจ
ในขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ เด็กหนุ่มก็ส่งพลังเข้าไปยังดวงตาซ้ายของเขา
เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!
ทันทีที่ดวงตาซ้ายของเขาทำงาน สายตาของเด็กหนุ่มก็เข้าสู่ขั้นสุดยอดการมองเห็นในทันที
แม้ว่าดาบของจ้าวยี่จางจะเร็ว ทว่ามันกลับช้าในสายตาของเขา
เขาเห็นแม้กระทั่งว่าพลังถูกรวบรวมไปที่ส่วนใดของร่างกายอีกฝ่าย และด้วยการนั้นเขาจึงสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้
ฟุ่บ! ฟุ่บ
จ้าวเฟิงหลบการโจมตีทั้งหมดอย่างง่ายดาย
“หมัดมังกรคลั่ง!” เมื่อถึงจุดหนึ่ง จ้าวเฟิงก็โจมตีกลับ
“ลมเหมันต์!” จ้าวยี่จางไม่ทั้งหลบหรือป้องกัน แต่กลับส่งคมดาบไปยังลำคอของคู่ต่อสู้
จ้าวเฟิงรู้สึกจนใจ เพราแม้เขาจะหาจุดอ่อนในการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ แต่เขากลับไม่สามารถโจมตีได้เมื่อเขาจะไม่สามารถหลบการโจมตีที่ตามมาได้
“คมดาบเหมันต์นั้นเด่นในด้านของความคมและพลังโจมตี มันไม่มีการป้องกันแม้แต่น้อย ทว่าการที่เขาสามารถฝึกมันจนเข้าขั้นสูงนั่นหมายความว่าจุดอ่อนของกระบวนท่านั้นย่อมมีน้อยลง และข้ามีโอกาสชนะเพียงครึ่งเท่านั้น” จ้าวเฟิงครุ่นคิดและคาดเดาในใจ
ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเขากับจ้าวยี่จางคือระดับวิชา
ในการที่จะเอาชนะอีกฝ่ายนั้น เขามีเพียงสองทางเลือก
ทางแรกคือการหลบ หลบจนกว่าอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายเหนื่อย จ้าวเฟิงมั่นใจว่าด้วยดวงตาซ้ายและพลังภายในของเขา เขาสามารถทนได้นานกว่าอีกฝ่าย
ทางที่สองคือใช้พลังภายในและเอาชนะด้วยพลัง
เพียงแค่ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังคิดอยู่นั้น
“ผู้ตัดสิน ข้าคิดว่าทั้งสองล้วนเป็นอัจฉริยะทั้งคู่ และหากยังคงยื้อออกไปเช่นนี้ต้องมีคนใดคนหนึ่งบาดเจ็บหรือตายเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นเราจะถูกพรรคลงโทษเอาได้”
โดยปกติแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะยื้อไปเช่นนี้ จ้าวยี่จางก็ยังคงมีโอกาสชนะถึง 50-60% แต่ว่าเขากลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างว่าการที่ยื้อออกไปเช่นนี้นับเป็นความคิดที่ไม่ดี
“แต่… พวกเขายังไม่ได้ตัดสินกัน” ผู้ตัดสินหลักรู้สึกลังเลเล็กๆ เพราะระดับการฝึกตนของจ้าวเทียนเจี้ยนเข้าขั้นหกและสถานะของเขาในพรรคก็ไม่นับว่าด้อย
“แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ตัดสิน แต่ท่านก็น่าจะเห็นว่าผู้ใดเหนือกว่า!” จ้าวเทียนเจี้ยนส่งสายตา ‘รู้กัน’ ให้กับผู้ตัดสินหลัก ชัดเจนว่าหากผลออกมาดี เช่นนั้นรางวัลที่ตามมาย่อมไม่น้อย…
“ได้” ผู้ตัดสินหลักเอ่ย
“หมายเลข 188 เจ้าดูเหมือนด้อยกว่า ดังนั้นแล้วผู้ตัดสินมีสิทธิที่จะหยุดการประลอง”
เช่นนี้ก็ได้หรือ?
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความกราดเกรี้ยวที่ท่วมท้นอยู่ในใจของเขา ชัดเจนว่าผู้ตัดสินนั้นเอนเอียงไปทางจ้าวยี่จาง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจเอ่ยตรงๆ ได้ว่าจ้าวยี่จางชนะ แต่ทว่าในฐานะของผู้ตัดสินนั้น พวกเขามีสิทธิที่จะตัดสินการประลองหลังจากเวลาผ่านไป ตัวอย่างเช่นพวกเขาสามารถตัดสินผู้ชนะได้หากการประลองนั้นกินเวลายาวนานเกินไป
การตัดสินใจของผู้ตัดสินนั้นสร้างความวุ่นวายเล็กๆ
“แม้ว่าจ้าวเฟิงจะดูเสียเปรียบ แต่เขาก็ยังไม่แพ้นี่”
“ฮึ่ม! เขาก็ทำได้เพียงวิ่งหนี! เขากำลังทำให้เราเสียเวลา!”
ฝูงชนโต้เถียงกันเงียบๆ
แม้ว่าผู้อาวุโสบางคนจะรู้สึกว่าเป็นการอยุติธรรม แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการสร้างความบาดหมางกับจ้าวเทียนเจี้ยนและบุตรชายของเขาเพียงเพื่อศิษย์สายนอกไร้ตัวตนผู้หนึ่ง
“ได้! เช่นนั้นข้าจะไม่วิ่ง!” จ้าวเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่นขณะที่หยุดเท้าของเขาลง
“ไอ้หนู! รับดาบของข้าไปซะ!” จ้าวยี่จางมองไปยังบิดาของตนด้วยความยินดี
จ้าวเทียนเจี้ยนยืนพร้อมด้วยสองมือไพล่หลัง ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มบาง ในตอนนั้นบางคนเช่นจ้าวคังมีสีหน้าปลาบปลื้ม
จ้าวซุ่ยมองร่างคุ้นเคยนั้นพร้อมถอนหายใจ ความรู้สึกของนางที่มีต่อเขานั้นซับซ้อนยิ่ง บางครั้งสงสาร บางครั้งเย็นชา
ฟึ่บ!
ในขณะที่เพลงดาบคมเหมันต์ของจ้าวยี่จางเข้าใกล้ร่างของเด็กหนุ่ม จ้าวเฟิงกลับไม่ขยับตัวหลบแม้แต่น้อย
“หมัดมังกรคลั่ง!” จ้าวเฟิงส่งความกราดเกรี้ยวทั้งหมดลงในหมัดหมัดนี้
จองหองนัก!
เหล่าผู้อาวุโสสั่นศีรษะ
“เฮ้อ” กระทั่งผู้ตัดสินหลักก็ทอดถอนใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ไร้ประโยชน์ ตาย!” จ้าวยี่จางหัวเราะขณะที่วาดคมดาบเปล่งประกายไปยังร่างของจ้าวเฟิง
“เปิด!” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังออกมา
ฟู่วว
แสงสีเขียวซีดปรากฏขึ้นบนแขนและหมัดของเด็กหนุ่ม ดูงดงามภายใต้แสงอาทิตย์
ก่อนที่หมัดนั้นจะไปถึง ลมจากหมัดนั้นก็กระแทกเข้าที่ร่างของจ้าวยี่จาง
เปรี้ยง!
ฝุ่นผงเริ่มลอยขึ้นจากพลังที่มองไม่เห็นโดยมีร่างของเด็กหนุ่มเป็นศูนย์กลาง
“อันใดกัน! นั่น…”
“มันคือ…” ผู้ตัดสินหลักยืนขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ไม่ดีแล้ว! สีหน้าของจ้าวเทียนเจี้ยนแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดไป
“เกิดอันใดขึ้น!” จ้าวยี่จางรู้สึกได้ถึงความกดดันไร้ที่มาที่ทาบทับทั่วร่างของเขา ทำให้กระทั่งหายใจยังลำบาก กระทั่งความเร็วของดาบเขาก็ถูกจำกัด ในสายตาของเขา หมัดของจ้าวเฟิงนั้นราวกับมังกรที่กำลังคำราม…
เปรี้ยง! แคร่กกก
จ้าวยี่จางพ่นโลหิตออกมาจากปาก
เคร้ง!
ดาบของเขาหักเป็นสองส่วนและร่วงลงบนพื้น
พลังที่ไม่สามารถมองเห็นได้ได้แล่นผ่านจากดาบเข้าสู่ร่างของเขา
“อ๊าก!”
จ้าวยี่จางร้องออกมาขณะที่ถูกกระแทกลอยไปกว่า 20 เมตร
ฮู่
จ้าวเฟิงลดหมัดลง พร้อมกันนั้นฝุ่นผงโดยรอบก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงตามเดิม
ไม่มีผู้ใดรู้ว่านานเท่าใด คนผู้หนึ่งก็ตะโกนขึ้น
“พลังภายในของผู้ฝึกตน!”
พลังภายใน!
แสงสีเขียวซีดที่เปล่งประกายบนร่างของเด็กหนุ่ม

King of Gods ราชันเทพเจ้า : บทที่ 23: ขั้นสูงของวิชาระดับสูง


บทที่ 23: ขั้นสูงของวิชาระดับสูง

หลังจากปะทะกันครั้งแรก ความแตกต่างก็ปรากฏขึ้นในทันที
จ้าวกางทรงตัวในขณะที่มองตรงไปยังคู่ต่อสู้ด้วยความตกตะลึง
จ้าวเฟิงไม่ได้โจมตีต่อ ในด้านของความเร็วนั้นเขามั่นใจว่ากระทั่งผู้ฝึกตนขั้นสี่บางคนก็ไม่อาจเทียบเขาได้
ในตอนนี้ การประลองระหว่างจ้าวเฟิงและจ้าวกางกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
“ความเร็วของเขามากกว่าจ้าวกางเสียอีก!” สามอันดับแรกของศิษย์สายนอกนิ่งงันไป
“เป็นท่าเท้าที่งดงามอันใดเยี่ยงนั้น!” ผู้อาวุโสที่มองอยู่ก็ตะลึงไปเช่นกัน
“วิชาของเขาดูคุ้นเคยยิ่ง” ผู้ตัดสินหลักเอ่ยพึมพำ
“เขาเรียนรู้วิชานภาลอยล่อง! ข้ามั่นใจ!” หนึ่งในผู้ฝึกตนมองตรงไปยังเด็กหนุ่มด้วยสายตาซับซ้อน เขาเองก็เคยเรียนรู้วิชานั้นเช่นกัน ทว่ามันยากเกินกว่าที่เขาจะฝึกแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนเดียว ดังนั้นแล้วเขาจึงฝึกเพียงสองปีก่อนจะล้มเลิกไป
“มันคือวิชานภาลอยล่อง!”
“สามารถฝึกวิชานั่นได้จนเข้าขั้นสูงเช่นนี้ ความสามารถในการเรียนรู้ของเขาไม่นับว่าแย่…”
แม้ว่าวิชานภาลอยล่องจะเป็นวิชาระดับสูง แต่มันไม่สมบูรณ์ ดังนั้นแล้วความสามารถของมันจึงมีจำกัด
“จ้าวเฟิงโจมตีแล้ว!”
ร่างของเด็กหนุ่มราวกับสายลม ความเร็วของเขานั้นมากมายยิ่ง จ้าวกางใช้แรงทั้งหมดทว่าก็ยังคงไม่อาจหลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้
“มังกรคลั่งที่ห้า!”
หมัดมังกรคลั่งเป็นวิชาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบรรดาวิชาระดับกลาง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะจดจำได้เมื่อเห็น
ปั่ก! ปั่ก! เพี้ยะ!
จ้าวเฟิงกดดันจ้าวกางอย่างหนัก จ้าวกางรู้สึกราวกับว่าเขาไม่อาจหายใจได้ภายใต้แรงกดดันนั้น ทุกๆ หมัดกระแทกเขาถอยหลัง จ้าวเฟิงเหนือกว่าเขาโดยสิ้นเชิง
ในด้านความเร็ว จ้าวเฟิงเหนือกว่าเขาอย่างง่ายดาย ในด้านของพลัง อีกฝ่ายก็ยังคงเหนือกว่าเขา
อั่ก!
หลังจากที่รับหมัดที่แปด จ้าวกางก็กระอักเลือดออกมาและยอมแพ้ เขาผู้ครองอันดับห้าพ่ายแพ้ภายใน 10 กระบวนท่า
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าจ้าวเฟิงแข็งแกร่งและสามารถต่อสู้กับห้าอันดับแรกได้ ผลลัพธ์ก็ยังทำให้พวกเขาตื่นตะลึง ความสามารถของเด็กหนุ่มนั้นไม่อาจนับว่าด้อยกว่าจ้าวเยว่และคนอื่นๆ ได้แม้แต่น้อย
“เด็กนั่นฉลาดมาก ไม่เพียงแค่ฝึกวิชาระดับพื้นฐานจนเข้าขั้นหลอมรวม ทว่ายังฝึกเพลงหมัดมังกรคลั่งกระทั่งเข้าขั้นสุดยอดด้วย”
“เขาสามารถเอาชนะจ้าวกางได้เพียงแค่ใช้วิชาระดับกลางขั้นสุดยอด” ผู้อาวุโสเอ่ยชมจ้าวเฟิง

การประลองยังคงดำเนินต่อไป
มีเพียงแค่สี่คนที่ยังคงสถิติชนะต่อเนื่อง จ้าวเยว่ จ้าวยี่จาง จ้าวหยูเฟ่ย และจ้าวเฟิง ทั้งสี่ถูกเรียกในนาม ‘ผู้แข็งแกร่งทั้งสี่’
“จ้าวเฟิง! จ้าวเฟิง!” ฝูงชนตะโกนเชียร์เด็กหนุ่มขณะที่เขากำลังก้าวขึ้นลานประลอง ทุกครั้งที่เขาขึ้นไป คู่ต่อสู้ส่วนมากจะยอมแพ้ หรือไม่ก็พ่ายแพ้ในสามกระบวนท่า
จ้าวเฟิงกระทั่งเจอจ้าวคัง
“ข้ายอมแพ้!” จ้าวคังกัดฟันกรอด รู้สึกอยากจะมุดดินหนี
ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นเหนือกว่าพี่ชายของเขาเสียอีก แล้วเขาจะชนะได้อย่างไรกัน?
ผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ยังคงชนะทุกการประลอง หลายคนคาดหวังให้ทั้งสี่ปะทะกันเอง…
ในที่สุด หลังจากที่ชนะครั้งที่ 60 จ้าวเยว่ที่ครองอันดับหนึ่งก็เผชิญหน้ากับจ้าวยี่จางที่ครองอันดับสอง
“จ้าวเยว่! จ้าวเยว่!”
“จ้าวยี่จาง! จ้าวยี่จาง!”
หลายคนตะโกนชื่อของทั้งสองออกมาด้วยความคาดหวัง
“จ้าวเยว่! ตั้งแต่ข้าพ่ายให้แก่เจ้ามาเมื่อครึ่งปีก่อน ในที่สุดเราก็เผชิญหน้ากันอีกครั้ง!” จ้าวยี่จางเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ดวงตาเร่าร้อนจ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างหมายมาด
ในบรรดาศิษย์สายนอก จ้าวเยว่นั้นนับว่าเป็นเพียงบุคคลธรรมดา สิ่งที่เขาทำมีเพียงการฝึกตนทุกวัน ดังนั้นแล้วพื้นฐานของเขาจึงมั่นคงที่สุด และทำให้เขาสามารถนั่งอยู่ในฐานะของศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งได้
“เริ่มเถอะ จะได้เห็นกันว่าคมดาบเหมันต์ของเจ้าหรือว่ากายาเหล็กของข้าที่แข็งแกร่งกว่ากัน” จ้าวเยว่ยืนสูงสง่าเบื้องหน้าคู่ต่อสู้
ชิ้ง!
จ้าวยี่จางชักดาบของเขาออกจากฝักดาบ
ในตอนที่วิชาคมดาบเหมันต์ได้ถูกใช้ออก อากาศก็ราวกับจะเข้าสู่จุดเยือกแข็ง
“หมัดเหล็ก!” ร่างของจ้าวเยว่ยืนเหยียดขณะที่เขาส่งหมัดออกไปยังดาบของคู่ต่อสู้
เปรี้ยง!
เสียงปะทะทำให้เยื่อแก้วหูของศิษย์ที่มีระดับฝึกตนต่ำสั่นสะท้าน
จ้าวยี่จางถอยหลังไปสองก้าว ก่อนจะหมุนตัวและแทงดาบตรงไปยังร่างกายช่วงล่างของจ้าวเยว่
“หนึ่งป้องกัน หนึ่งโจมตี”
เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของจ้าวเยว่และจ้าวยี่จางนั้นสามารถเอาชนะผู้ที่มีพลังขั้นเสมือนผู้ฝึกตนได้อย่างง่ายดาย
หากจ้าวเฟิงยังไม่สามารถโคจรพลังภายในได้ เขาย่อมไม่อาจโจมตีผ่านพลังป้องกันของจ้าวเยว่ได้
เคร้ง! เคร้ง! เชี้ยะ!
การประลองของทั้งสองเร่าร้อนถึงขีดสุด ดาบของจ้าวยี่จางนั้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ อากาศเย็นเยียบล้อมกรอบร่างของจ้าวเยว่
หากเป็นผู้อื่นที่อยู่ในขั้นสามแห่งหนทางผู้ฝึกตนแทนจ้าวเยว่ พวกเขาย่อมพ่ายในเพียงแค่กระบวนท่าเดียว
จ้าวเยว่ยังคงรับดาบของคู่ต่อสู้
“พื้นฐานของจ้าวเยว่นั้นแข็งแกร่งมาก และจุดแข็งของเขาก็คือการป้องกัน หากจ้าวยี่จางไม่อาจเอาชนะเขาได้ในชั่วเวลาครึ่งน้ำเดือด เขาย่อมไม่อาจชนะ” ผู้ตัดสินหลักเอ่ย
“ฮี่ฮี่ ครึ่งน้ำเดือดเช่นนั้นหรือ? เขาไม่ต้องใช้เวลานานเช่นนั้นหรอก” ชายวัยกลางคนผู้เป็นบิดาของจ้าวยี่จางเอ่ยอย่างมั่นใจ
“โฮ่?” สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไป
อึก!
จ้าวเยว่ครางออกมาเมื่อบนแขนแกร่งของเขาปรากฏรอยตัดขึ้น
“กายาเหล็กของข้าถูกทำลายลงได้อย่างไร…?” ใบหน้าของจ้าวเยว่ซีดขาว
วิชากายาเหล็กนั้นคือการที่เปลี่ยนร่างกายของผู้ฝึกให้แข็งราวกับเหล็ก เมื่อรวมเข้ากับวิชาหมัดเหล็ก ความแข็งแกร่งและพลังป้องกันของเขาก็ถึงขีดจำกัดแล้ว เขามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดที่ระดับต่ำกว่าขั้นสี่สามารถเจาะพลังป้องกันของเขาเข้ามาได้
“วิชาระดับสูงขั้นสูง!” ผู้ตัดสินตะโกน
วิชาระดับสูงขั้นสูง?
ศิษย์ใกล้ๆ สูดลมหายใจเย็นเยียบ
การฝึกฝนวิชาระดับสูงส่วนมากให้กลายเป็นขั้นต่ำก็นับว่ายากแล้ว และการที่จะฝึกให้เขาขั้นสูงนั้นกลับยากเสียยิ่งกว่า
ทว่าเมื่อวิชาเหล่านั้นเข้าสู่ขั้นสูง พลังของพวกมันจะสูงกว่าขั้นต่ำราวๆ 50% หรือมากกว่า
วิชาคมดาบเหมันต์นั้นเป็นวิชาโจมตีระดับสูงที่น่าหวาดหวั่นมากพอแล้ว เมื่อผู้ที่มีขั้นสามแห่งหนทางผู้ฝึกตนฝึกมันจนเข้าสู่ระดับต่ำ คนผู้นั้นก็จะมีพลังเทียบเท่าขั้นเสมือนผู้ฝึกตน และหากฝึกฝนจนเข้าขั้นสูงจะทำได้กระทั่งทำร้ายผู้ฝึกตน
“ขั้นสูงของวิชาระดับสูง! ไม่น่าแปลกใจเลย! ยินดีด้วยจ้าวเทียนเจี้ยนที่มีบุตรชายมากพรสวรรค์เช่นนี้” ผู้ตัดสินหลักยิ้มให้กับชายวัยกลางคน จ้าวเทียนเจี้ยน ผู้เป็นบิดาของจ้าวยี่จาง
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส!” ชายวัยกลางคนรู้สึกอึ้งกับการกระทำของอีกฝ่าย ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของพรรคและตำแหน่งสูงกว่าเขามากนัก

บนลานประลอง
“ประกายเหมันต์!”
จ้าวยี่จางวาดดาบออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเก่า
แคว่กกก!
เสื้อของจ้าวเยว่ขาดออกเป็นชิ้น บนร่างปรากฏรอยบาดหลายแห่ง
“จ้าวยี่จางชนะ!” ผู้ตัดสินเอ่ยขึ้นในทันที
“ขั้นสูงของวิชาระดับสูง นับว่าข้าไม่ได้พ่ายแพ้อย่างอยุติธรรม” จ้าวเยว่เอ่ยขณะถอนหายใจ
หลังจากเอาชนะจ้าวเยว่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดจ้าวยี่จางได้อีกต่อไป
“จ้าวยี่จาง! จ้าวยี่จาง!”
ฝูงชนเบื้องล่างตะโกนเชียร์ เด็กหนุ่มสาวหลายคนมองเขาอย่างหวาดกลัว บัดนี้จ้าวยี่จางกลายเป็นราชาของศิษย์สายนอกไปแล้ว
สายตาของจ้าวยี่จางกวาดมองไปโดยรอบก่อนจะหยุดลงที่ร่างของจ้าวเฟิง ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น ดวงตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
“พี่เจี้ยน!” ใบหน้าของจ้าวซุ่ยแดงซ่านขณะที่นางวิ่งตรงไปยังเขา นางเชื่อว่าพลังของเขานั้นไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ ในขณะเดียวกัน นางก็ใช้หางตามองไปยังจ้าวเฟิง
ใบหน้าของจ้าวเฟิงไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ
บัดนี้มีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นมียังคงสถิติไว้ได้ จ้าวยี่จาง จ้าวเฟิง และจ้าวหยูเฟ่ย ทว่าบัดนี้ไม่มีผู้ใดให้ความคาดหวังกับมันมากนัก
ในสายตาของผู้คนนั้น จ้าวยี่จางไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดในศิษย์สายนอก เขาอาจทำได้กระทั่งครองอันดับสูงในบรรดาศิษย์สายใน!
“ขั้นสูงของวิชาระดับสูง?” จ้าวเฟิงพึมพำ
สถิติของเขายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และถึง 60… 61ครั้ง…
ทว่าการประลองระหว่างจ้าวยี่จางและจ้าวเฟิงนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในที่สุด ในการประลองตาที่ 69 จ้าวเฟิงก็พบกับเด็กหนุ่มในชุดสีม่วงบนลานประลอง
จ้าวยี่จาง!
ฝูงชนเงียบเสียงลงเมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน อย่างไรก็ตามสถิติของจ้าวเฟิงก็ยังไม่ถูกทำลายลง
“จ้าวเฟิง! เจ้าจะไม่ยอมแพ้ใช่หรือไม่?” จ้าวยี่จางเอ่ยเยาะเย้ย
ในสายตาของเขา คนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้มีเพียงจ้าวเยว่เท่านั้น ที่เหลือเป็นเพียงแค่ขยะ

King of Gods ราชันเทพเจ้า : บทที่ 22: กำเนิดม้ามืด


บทที่ 22: กำเนิดม้ามืด

ฮู่!
จ้าวฟงพ่นลมหายใจออกมาขณะทิ้งตัวลงนั่ง
เด็กหนุ่มกลายเป็นม้ามืดที่ปรากฏตัวขึ้นในงานประลองกลุ่ม ใช้เพียงแค่วิชาระดับพื้นฐานในการเอาชนะทุกคนที่ขวางทาง
กระทั่งจ้าวเฉินกางที่ครองอันดับเจ็ดในบรรดาศิษย์สายนอกก็ยังต้องพ่ายแพ้
“ข้าสงสัยนักว่ากลุ่มอื่นเป็นเช่นไรบ้าง” ดวงตาของจ้าวฟงกวาดมองไปยังกลุ่มอื่น ผู้ประลองทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม โดยที่แต่ล่ะกลุ่มมีผู้แข็งแกร่งและอ่อนแออย่างเท่าเทียมกัน
นอกจากจ้าวฟงแล้วยังมีผู้ที่สามารถเอาชนะ 20 รอบติดกันไปจำนวนมาก ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถเขารอบต่อไปได้ ผู้ที่รวดเร็วที่สุดคือจ้าวยี่จางจากกลุ่มสอง
ดาบของจ้าวยี่จางนั้นรวดเร็วยิ่ง ก่อนที่คู่ต่อสู้จะได้ทันตั้งตัว คมดาบก็พาดอยู่ที่ลำคอของพวกเขาแล้ว เขาเข้ารอบเร็วเสียยิ่งกว่าจ้าวเยว่เสียอีก
“ในบรรดาศิษย์สายนอก มีเพียงสามอันดับแรก จ้าวหยูเฟ่ย จ้าวเยว่ และจ้าวยี่จาง ที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”
อายุของจ้าวเยว่นั้นมากกว่าเขาเล็กน้อย คือ 17 ปี และมัดกล้ามเนื้อบนร่างกายของเขานั้นใหญ่มาก
“เพลงหมัดลมหวน!”ศิษย์คนหนึ่งที่มีขั้นสามแห่งหนทางผู้ฝึกตนชกตรงไปยังจ้าวเยว่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่กระทั่งขยับ
อันใดกัน!?
บนหน้าผากของศิษย์ผู้นั้นเริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
พลังป้องกันอันใดกัน!
จ้าวฟงรู้สึกตะลึงเล็กๆ การโจมตีเต็มกำลังของผู้ฝึกตนขั้นสามไม่อาจสร้างอาการบาดเจ็บให้กับจ้าวเยว่ได้แม้แต่น้อย เด็กหนุ่มย่อมต้องฝึกวิชาป้องกันระดับสูงจนทำให้ร่างกายของเขาสามารถทนทานต่อการโจมตีของผู้ที่อยู่ในขั้นเดียวกันได้เช่นนั้น
อย่างน้อยจ้าวฟงก็ไม่สามารถรับหมัดของผู้ฝึกตนขั้นสามได้ด้วยเพียงแค่ร่างกายเปล่าๆ
หากจ้าวยี่จางเรียกได้ว่ารวดเร็วแลรุนแรง เช่นนั้นจ้าวเยว่ก็คือสิ่งที่เป็นขั้วตรงข้าม เขาเชื่องช้าทว่าพลังป้องกันนั้นอยู่ในขั้นเหลือเชื่อ
จ้าวหยูเฟ่ยใช้เคล็ดอ่อนชนะแข็ง นางอาจทำเพียงโบกมือธรรมดาทว่ามันกลับสามารถล้มคู่ต่อสู้ลงได้ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของนางดูไร้ที่ติ ความงดงามของเด็กสาวโดดเด่นออกมาภายใต้อาภรณ์สีม่วง ทุกคนที่มองนางรู้สึกได้ถึงความสดชื่น
“นางคือผู้ใดกัน? ถึงขั้นมีพลังระดับเสมือนผู้ฝึกตนในอายุเพียงเท่านี้” กระทั่งศิษย์สายในบางคนยังถูกดึงดูดโดยนาง
“นางทั้งงดงามและมีพรสวรรค์ เมื่อคนเช่นนางเข้าเป็นศิษย์สายในเราย่อมไม่มีกระทั่งโอกาส”
“นางยังคงเยาว์นัก อีกสักสองปีนางอาจเทียบเท่าได้กับสาวงามแห่งเมืองประกายอรุณ ชิวเมิ่งหยู”

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผู้คนต่างสนใจนางมากกว่าจ้าวเยว่และจ้าวยี่จางที่ครองอันดับหนึ่งและสอง นั่นเป็นเพราะความงดงามและพรสวรรค์ของนาง
ไม่ช้าทั้งสิบกลุ่มก็มีผู้ที่ชนะ 20 รอบติดกัน กลุ่มแรกคือจ้าวเยว่ กลุ่มสองจ้าวยี่จาง กลุ่มสามจ้าวหยูเฟ่ย กลุ่มสี่จ้าวกัง กลุ่มห้าจ้าวกาง…
ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ครองอันดับหนึ่งในสิบของศิษย์สายนอก
ทว่ามีคนผู้หนึ่งที่เหนือความคาดหมายจากกลุ่มเจ็ด จ้าวฟงเป็นม้ามืดที่พุ่งออกมาแทนที่จ้าวเฉินกาง
นอกจากทั้งสิบคนนี้ ไม่มีคนมากเท่าใดที่ชนะรวด 20 ครั้ง
การประลองแบบกลุ่มยังคงดำเนินต่อไปกระทั่งเหลือเพียง 10 คนต่อกลุ่ม ใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งวัน บัดนี้เหลือผู้ร่วมประลองเพียง 100 คน และทั้งหมดล้วนเป็นผู้มากฝีมือในบรรดาศิษย์สายนอก

วันที่สองคือวันที่ทั้งหนึ่งร้อยคนต้องประลองกันอีกครั้งที่ลานฝึกฝนนภา
หลังจากที่พักผ่อนมาแล้วหนึ่งวัน ทั้งร่างของจ้าวฟงก็เต็มไปด้วยพลังงาน เขาค้นพบว่าการประลองเหล่านี้ได้ช่วยเพิ่มระดับพลังการฝึกตนของเขาไม่น้อย
“วันนี้เราจะเข้าสู่รอบคัดเลือก! พวกเจ้าทุกคนคือผู้มากฝีมือในบรรดาศิษย์สายนอก ทว่าวันนี้ ครึ่งหนึ่งต้องถูกกำจัด เหลือเพียงอีกครึ่งที่จะสามารถเข้าสู่รอบชิงได้! กฎคือ…” เสียงประกาศดังก้องสนาม
ผู้ร่วมประลองทั้งหนึ่งร้อยคนกลั้นลมหายใจในขณะที่ฟังกฎการประลอง
อันดับนั้นนับจากแต้มที่ได้รับ ทุกคนจะเริ่มต้นด้วยหนึ่งแต้ม และทุกๆ ครั้งที่ชนะจะได้รับหนึ่งแต้ม ส่วนทุกครั้งที่แพ้จะถูกลบหนึ่งแต้มเช่นกัน
ในที่สุด 50 คนที่มีแต้มมากที่สุดจะเข้าไปประลองกับศิษย์สายใน
“เริ่มได้!” เสียงของผู้ตัดสินดังขึ้น
“ 144 vs 26! ”
“ 73 vs 429! ”
ทุกสนามประลองเริ่มต้นการประลองขึ้น
มีหลายคนที่ยอมแพ้เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป ตัวอย่างเช่นจ้าวเยว่และจ้าวยี่จาง คู่ต่อสู้ของพวกเขายอมแพ้ทันทีที่เห็นหน้า พวกเขาเลือกที่จะเก็บแรงไปสำหรับรอบต่อไปมากกว่า
“ 188 vs 169! ”
ในที่สุดก็ถึงรอบของจ้าวฟง คู่ต่อสู้ของเขาคือเด็กหนุ่มผิวเข้มที่มีระดับขั้นสองของหนทางแห่งผู้ฝึกตน
“ข้ายอมแพ้!” เมื่อเด็กหนุ่มเห็นว่าคู่ต่อสู้คือจ้าวฟงเขาก็ยอมแพ้ในทันที
จ้าวฟงผงะไปเล็กๆ
เด็กหนุ่มผิวเข้มคนนั้นดูเหมือนว่าจะอยู่กลุ่มเดียวกับเขาในรอบก่อนหน้า แต่พวกเขาไม่เคยปะทะกัน
ด้วยเหตุนี้ เด็กหนุ่มจึงได้แต้มไปอย่างง่ายดาย
ไม่ช้าเขาก็เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนที่สอง คราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเด็กสาวที่มีระดับขั้นสองของหนทางแห่งผู้ฝึกตน
“ข้ารู้ถึงความแข็งแกร่งของเจ้า แต่ข้าจะไม่ยอมแพ้” เด็กสาวในชุดเสื้อผ้าธรรมดากัดฟัน
เมื่อเจอสตรีอ่อนแอเช่นนี้ บางคนก็มักจะปล่อยให้นางชนะไปง่ายๆ
“หมัดเหล็กเพลิง!”
หมัดธรรมดานี้กลับมาอีกครั้งและส่งเด็กสาวถอยหลังไป 6 เมตร หนึ่งกระบวนท่า เรียบร้อยและเรียบง่าย!
จ้าวฟงไม่ต้องการจะเสียเวลากับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอเกินไปและไม่สามารถช่วยเขาพัฒนาได้
ข้าแพ้! เด็กสาวรู้สึกผิดหวังขณะเดินออกไป
“ฮึ่ม! รังแกเด็กสาวอ่อนแอ มีดีอันใดกัน?”
“รอจนกระทั่งถึงตาข้า ข้าจะล้างแค้นให้น้องซิ่นเอง!”
การกระทำของจ้าวฟงนั้นทำให้เด็กหนุ่มหลายคนมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม
“ หมายเลข 188 ชนะ!” ผู้ตัดสินมองไปยังจ้าวฟงด้วยสายตาชื่นชม
การประลองรอบถัดไปก็ยังคงง่ายดาย แต้มของเด็กหนุ่มยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ข้ายอมแพ้!”
“ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!”
“หมัดเหล็กเพลิง!”
คู่ต่อสู้ส่วนมากของเด็กหนุ่มยอมแพ้ ทว่าผู้ที่ไม่ได้ทำเช่นนั้นก็พ่ายแพ้ในเสี้ยววินาทีเช่นกัน
“พลังของเด็กนั่นอาจเข้าขั้นเสมือนผู้ฝึกตน”
ยิ่งการประลองผ่านไปมากเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งเข้าใจความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มมากขึ้นเท่านั้น
จ้าวฟงไม่ลืมที่จะให้ความสนใจกับการประลองของจ้าวเยว่และจ้าวยี่จาง
ในเวลาหนึ่ง ณ ลานประลองที่สาม
“เร็วเข้า! ดูสิ! จ้าวยี่จางประลองกับจ้าวกัง!”
จ้าวฟงหันไปมองทางต้นเสียง สายตาปรากฏภาพของร่างสองร่างที่เข้าปะทะกัน
ศิษย์ที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองและสี่ในบรรดาศิษย์สายนอกปะทะกันย่อมสร้างความสนใจให้กับผู้ชมได้อย่างง่ายดาย ทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ที่ครองอันดับหนึ่งในห้า และแต่เดิมความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้ต่างกันมาก
“ลักษณ์ที่สิบแห่งอสรพิษ!” จ้าวกังตวาดขณะที่เขาขดตัวลงบนพื้นราวกับงู ร่างกายของเขานั้นคล่องแคล่วจนกระทั่งสามารถหลบคมดาบของจ้าวยี่จางได้หลายครั้ง
จ้าวฟงรู้สึกตื่นเต้นกับพลังของจ้าวกังที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับแต่ปะทะกันเมื่อเดือนก่อน เขายังฝึกฝนอสรพิษสิบสามลักษณ์จนกระทั่งเข้าลักษณ์ที่สิบ ซึ่งนั้นหมายถึงเขามีพลังเทียบเท่าขั้นเสมือนผู้ฝึกตนแล้ว
ความแข็งแกร่งของจ้าวกังเทียบเท่าได้กับซินเฟ่ยเมื่อครั้งที่อยู่ในป่าเมฆาคล้อย
“แม้ว่าเจ้าจะพัฒนาขึ้นมาก แต่เจ้าก็ยังจะแพ้ข้าเช่นเดิม” จ้าวยี่จางเอ่ยขณะที่เพิ่มความเร็วมากขึ้น
“นั่นมันวิชาระดับสูง คมดาบเหมันต์! วิชานั่นฝึกฝนยากยิ่งนัก!” ใครบางคนตะโกนออกมา
ดาบของจ้าวยี่จางเร็วขึ้นเรื่อยๆ
คราแรกจ้าวกังสามารถหลบได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งหลบได้น้อยลง ไม่ช้าก็ปรากฏรอยตัดขึ้นบนร่างกายของเด็กหนุ่ม
“จ้าวยี่จางชนะ!” ผู้ตัดสินหยุดการประลองเพราะพวกเขายังต้องการให้จ้าวกังสามารถประลองต่อไปได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บมากเกินไป
ในตอนนั้น แผ่นหลังของจ้าวกังก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบในขณะที่เขามองไปยังจ้าวยี่จางอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้าทำได้อย่างไร….?”
จ้าวยี่จางเอาชนะจ้าวกังโดยใช้ไม่ถึง 10 กระบวนท่า
“จ้าวยี่จางแข็งแกร่งยิ่ง!” หนึ่งในศิษย์ตระกูลจ้าวอุทานออกมา
จ้าวยี่จางและจ้าวกังเคยปะทะกันมาก่อน ทว่าในตอนนั้นการประลองกินเวลายาวนาน ทั้งสองปะทะกันมากกว่า 100 กระบวนท่า แต่ว่าบัดนี้เขาลำบากเพียง 10 กระบวนท่า!
“ความแข็งแกร่งของจ้าวยี่จางบัดนี้อาจเทียบเท่าได้กับจ้าวเยว่แล้ว” บางคนคาดเดา
จ้าวยี่จางและจ้าวเยว่ หนึ่งแข็งแกร่งในการโจมตี อีกหนึ่งยอมเยี่ยมในการป้องกัน
จะเกิดอันใดขึ้นหากทั้งสองเผชิญหน้ากัน?
หลายคนเฝ้ารอการประลองนั้นอย่างใจจดใจจ่อ…
จ้าวยี่จางและจ้าวเยว่เป็นผู้ที่ได้รับฉายา ‘ศิษย์สายนอกที่แข็งแกร่งที่สุด’
ทว่าจ้าวหยูเฟ่ยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าใดนัก
ใบหน้าของจ้าวฟงยังคงเยือกเย็นในแม้จะเห็นเช่นนั้น บัดนี้เขาชนะติดต่อกัน 44 ครั้งแล้ว ทว่าในครานี้เขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ผู้ถือครองอันดับห้าในบรรดาศิษย์สายนอก จ้าวกาง!
จ้าวกางมีแต้มมากกว่า 40 แต้มเช่นเดียวกัน คนเดียวที่เขาแพ้คือจ้าวเยว่
“ฮี่ฮี่ ไอ้หนู! สถิติเจ้าจบลงแค่นี้แหละ!” จ้าวกางหัวเราะอย่างเปี่ยมสุข
หลายคนมองไปยังจ้าวฟงด้วยสายตาย่ามใจ
จ้าวกางที่ครองอันดับห้านับเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคู่ต่อสู้ทั้งหมดที่เขาได้พบมา
“พลังของเจ้าเพียงแค่เกือบเทียบเท่าขั้นเสมือนผู้ฝึกตนเท่านั้น” จ้าวฟงเอ่ยเสียงเรียบ
“จริงรึ? เช่นนั้นข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้ามีวิชาใดนอกเหนือไปจากวิชาระดับพื้นฐานนั่น” ดวงตาของจ้าวกางฉายประกายวาบ
ฟุ่บ!
ทันทีที่สิ้นคำ ร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นข้างกายจ้าวฟง
“ความเร็วอันใดกัน!”
“ทั้งจ้าวกางและจ้าวหยูเฟ่ยเป็นที่เลื่องชื่อในด้านของท่าเท้า”
ความเร็วของจ้าวกางสร้างความชื่นชมให้กับผู้ชม
ประลองความเร็ว? จ้าวฟงมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม
ฟุ่บ!
เมื่อฝ่ามือของจ้าวกางใกล้จะสัมผัสกับร่างของจ้าวฟง เป้าหมายก็หายไปจากสายตาของเขา! ราวกับว่าฝ่ามือของเขาสลายอีกฝ่ายหายไปในอากาศ
เฮือก!
ศิษย์ด้านล่างจ้องมองภาพนั้นนิ่ง หลายคนที่ตั้งสติได้เร็วมองไปยังเบื้องหลังจ้าวกาง
หมัดมังกรคลั่ง!
จ้าวกางรู้สึกเพียงแค่ว่ามีบางอย่างเคลื่อนที่เข้ามาด้านหลังเขา
ปั่ก!
เด็กหนุ่มพยายามป้องกันหมัดนั้นด้วยสัญชาตญาณ และเขาก็ทำได้ ทว่าจากนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังอันบ้าคลั่งที่ถาโถมเข้าใส่
ตูม!
จ้าวกางถอยหลังไป 2-3 เมตรและเกือบจะล้มลง
“เขาเรียนรู้วิชาอันใดกันจึงได้เร็วเช่นนี้!” หัวใจของจ้าวกางเต้นแรงด้วยความตะลึง

King of Gods ราชันเทพเจ้า : บทที่ 21: ขั้นหลอมรวม


บทที่ 21: ขั้นหลอมรวม

แน่นอนว่าคำกล่าวของจ้าวฟงได้สร้างความไม่พอใจอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเจ็ด เกือบทั้งหมดใช้สายตาเกลียดชังจ้องมองไปยังเขา
“ฮึ่ม! เจ้าหมอนี่นับว่าหยิ่งยโสเกินไปแล้ว”
“จ้าวเฉินกาง! จัดการหมอนั่นเลย!”
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเรียกสายตาของผู้คนรอบๆ ไป
“วิชาระดับพื้นฐาน? ค่อนข้างน่าสนใจ” เด็กสาวผู้ที่ยืนเงียบๆ แย้มรอยยิ้มขณะมองไปยังต้นเหตุด้วยสายตาสนอกสนใจ นางคือจ้าวชิ่น ผู้ที่ครองอันดับสี่ในบรรดาศิษย์สายใน
ในฐานะของศิษย์สายใน นางไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมรอบคัดเลือก ด้วยระดับขั้นการฝึกตนของนาง นางสามารถเอาชนะทุกคนในที่นี้ได้ กระทั่งเมื่อเทียบกับจ้าวเยว่ ความแตกต่างก็ยังนับว่ามากเกินไป
“ดี… ดี… ดี! ข้าจะคอยดู… ว่าวิชาระดับพื้นฐานของเจ้าจะแข็งแกร่งสักเพียงใด!” ใบหน้าของจ้าวเฉินกางทะมึนทึม การกระทำของอีกฝ่ายราวกับตบเข้าที่ใบหน้าของเขา!
“หมัดถลาลม!” จ้าวเฉินกางกดความโกรธเกรี้ยวลงและใช้วิชาระดับสูง หมัดถาลม
วิชาหมัดนี้ใช้ทั้งพลังและความเร็วในการเอาชนะคู่ต่อสู้ การโจมตีของมันนั้นราวกับพายุอันบ้าคลั่ง
ความแข็งแกร่งของจ้าวเฉินกางนั้นอยู่ในความคาดหมายของผู้ชม พลังของเขานั้นใกล้เคียงกับขั้นเสมือนผู้ฝึกตนและมันไม่ได้สร้างความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ทว่าผู้คนส่วนมากล้วนเพ่งความสนใจไปยังจ้าวฟง เผชิญหน้ากับอันดับเจ็ดของศิษย์สายนอกเช่นนี้ เขาจะยังคงใช้วิชาระดับพื้นฐานนั่นหรือไม่?
จ้าวฟงใช้การกระทำยืนยันคำพูดของเขา
“หมัดเหล็กเพลิง!” หมัดธรรมดาๆ ส่องประกายสีแดง
วิชาระดับพื้นฐานอีกแล้ว!
“วิชาหมัดเหล็กเพลิงอีกแล้ว!”
“เขายังใช้วิชาระดับพื้นฐานนั่น?” ศิษย์ตระกูลจ้าวอึ้งตะลึงไป พวกเขาส่วนมากคิดว่าเด็กหนุ่มเพียงแค่พูดตลกไร้สาระและคงไม่ทำเช่นนั้น
ทว่าความจริงเขากลับเสียสติกว่าที่คิด!
“ผู้ฝึกตนขั้นสามโดยทั่วไปคงไม่อาจรับหมัดนั่นได้แม้แต่ครั้ง”
“ไม่เลว หมัดถลาลมเข้าระดับต่ำแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนอย่างหนัก!” กระทั่งผู้อาวุโสบางคนยังผงกศีรษะ
ปั่ก!
ร่างทั้งสองเข้าปะทะกัน หมัดกระแทกหมัด
“ร่วงไปซะ!” จ้าวเฉินกางเค้นพลังของเพลงหมัดของเขาจนเข้าขั้นสูงสุด หากเขาใช้วิชาระดับสูงแต่ยังคงไม่อาจเอาชนะจ้าวฟงได้ เช่นนั้นเขาจะสามารถครองหนึ่งในสิบอันดับแรกของศิษย์สายนอกได้อย่างไร?
ตูม!
ความร้อนส่งผ่านหมัดของจ้าวเฉินกางกระทั่งกำปั้นของเขาชาหนึบ ร่างผงะถอยไปสองก้าว ในขณะที่จ้าวเฟิงเพียงแค่สะท้านเล็กๆ ไม่แม้กระทั่งขยับสักก้าว
“…เป็นไปได้อย่างไร?” จ้าวเฉินกางผวา เขาคิดว่าจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ในหมัดเดียว ทว่าในความเป็นจริงนั้นคือการที่เขาถูกป้องกันได้ด้วยเพียงวิชาระดับพื้นฐาน!
“เกิดอันใดขึ้น!” ศิษย์โดยรอบแข็งค้าง
“ข้าไม่เชื่อ… มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ! มันเพียงแค่บังเอิญโดนเข้าที่จุดอ่อนของกระบวนท่าข้าเท่านั้น” จ้าวเฉินกางคำรามขณะที่ใช้เพลงหมัดถลาลมของเขาออกไปอีกครั้ง
ปั่ก!
อีกครั้งที่ร่างที่ของจ้าวเฉินกางถูกผลักถอยไป แม้ว่าสองกระบวนท่าแรกจะเสมอ ทว่าเด็กหนุ่มกลับรู้สึกราวกับถูกบีบบังคับ
“มันเป็นวิชาระดับพื้นฐานจริงๆ… มันทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“เหตุใดวิชาระดับพื้นฐานจึงเหนือกว่าวิชาระดับสูงเช่นนี้?”
เหล่าศิษย์พรรคจ้าวเต็มไปด้วยความฉงน
กระบวนท่าที่หนึ่ง…กระบวนท่าที่สอง… กระบวนท่าที่สาม…
ทุกครั้งจ้าวเฉินกางเป็นฝ่ายถูกผลักถอยออกไป
เมื่อสองคนที่มีระดับขั้นเดียวกันประลองกัน นับเป็นเรื่องปกติที่จะมีฝ่ายหนึ่งเหนือกว่า ทว่าการใช้วิชาระดับพื้นฐานปะทะกับวิชาระดับสูงเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เกิดอันใดขึ้นกัน?
จ้าวเฉินกางบ้าคลั่งขึ้นเมื่อเขาใช้พลังจนหมด
สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังผู้ตัดสินและเหล่าผู้อาวุโสของพรรค
“ทักษะและสัญชาตญาณในการต่อสู้ของจ้าวฟงเหนือกว่าจ้าวเฉินกาง” ผู้ตัดสินเอ่ยอย่างคลุมเครือ การตัดสินของเขาไม่ได้สร้างความพอใจให้กับฝูงชน
“ฮี่ฮี่ เจ้าเด็กนั่นฝึกวิชาระดับพื้นฐานกระทั่งเข้า ‘ขั้นหลอมรวม’ ” น้ำเสียงแหบชราดังขึ้นจากใจกลางของกลุ่มคน ผู้พูดเป็นชายชราที่มีเคราสีขาว เขาเป็นผู้ตัดสินหลักของการประลองครั้งนี้
ขั้นหลอมรวม?
ผู้ตัดสินบางส่วนรีบผงกศีรษะ ทุกคนรู้ว่ายิ่งระดับของวิชาสูงเท่าใด พลังโจมตีของมันก็มากขึ้นเท่านั้น ทว่ามันอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป!
ตัวอย่างเช่น เมื่อคนผู้หนึ่งฝึกวิชาระดับต่ำจนกระทั่งเข้าขั้นสูง และอีกคนหนึ่งฝึกวิชาระดับสูงจนกระทั่งเข้าขั้นต่ำ วิชาระดับสูงนั่นจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับวิชาระดับต่ำ
ตามปกติแล้ว ระดับขั้นของวิชาคือ พื้นฐาน ต่ำ สูง และสุดยอด
ขั้นสุดยอดนั้นหมายถึงประสิทธิภาพของวิชามีมากถึง 90% หรือมากกว่านั้น
โดยทั่วไป ผู้ที่สามารถฝึกวิชาจนกระทั่งเข้าขั้นสุดยอดนับว่าหายากแล้ว ทว่าขั้นสุดยอดไม่ได้หมายความว่ามันถึงขีดจำกัด เหนือขั้นสุดยอดยังคงมีขั้นหลอมรวม!
ขั้นหลอมรวมนั้นหมายถึงวิชาได้ถูกฝึกจนกระทั่งสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้ถึง 99% หรือมากกว่า สามารถเรียกได้ว่าเข้าขั้น ‘สมบูรณ์’
“แม้ว่าระหว่างขั้นสุดยอดและขั้นหลอมจะดูเหมือนเป็นเพียงช่องว่างเล็กๆ รวม แต่ความจริงแล้วความแตกต่างของมันนั้นราวกับสวรรค์กับนรก! ความแตกต่างนั่นมากเสียกว่าวิชาระดับต่ำกับวิชาระดับสูงเสียอีก!” ผู้ตัดสินหลักยิ้มบาง
“ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น จ้าวฟงก็ทำได้เพียงเสมอกับจ้าวเฉินกางนี่ขอรับ” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
อย่างไรก็ตาม วิชาระดับสูงนั้นมีระดับมากกว่าวิชาระดับพื้นฐานสามระดับ และจ้าวเฉินกางยังฝึกวิชาระดับสูงจนกระทั่งเข้าขั้นต่ำ
“เจ้ากล่าวถูกต้อง! วิชาระดับพื้นฐานขั้นหลอมรวมนั้นทำได้เพียงปะทะอย่างเท่าเทียมกับวิชาระดับสูงขั้นต่ำ ทว่าเช่นที่เจ้าเห็น ความแข็งแกร่งของร่างกาย ปฏิกิริยาตอบโต้ สัญชาตญาณการต่อสู้ และอื่นๆ ของจ้าวฟงนั้นเหนือกว่าจ้าวเฉินกางนัก” ชายชราเอ่ยชม ด้วยคำอธิบายของเขา เหล่าผู้คนจึงได้เข้าใจ
ในตอนนั้นเองที่การต่อสู้บนประลองที่เจ็ดได้เปลี่ยนไป
“จ้าวฟงเริ่มโจมตีแล้ว!”
“สวรรค์! ความเร็วอันใดกัน!”
ปั่ก! ปั่ก! เพี้ยะ!
สายตาของเหล่าผู้ชมถูกดึงดูดไปยังลานประลองที่เจ็ด เพียงแค่เห็นจ้าวฟงเปลี่ยนจากการป้องกันเป็นโจมตี พลังหมัดของเขานั้นเหนือกว่าขั้นที่หมัดเหล็กเพลิงจะสามารถแสดงออกมาได้ไปแล้ว
ความเร็ว พลัง ทุกการจู่โจมล้วนมุ่งตรงไปยังจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ จ้าวเฉินกางที่เสียสติไปแล้วเหวี่ยงหมัดไปทั่วก่อนถูกโจมตีด้วยหมัดหมัดหนึ่งของเด็กหนุ่ม
ปั่ก
จ้าวเฉินกางกรีดร้องออกมาเมื่อหัวไหล่ของเขาหลุดออกจากเบ้า
“หมายเลข 188 ชนะ!” ผู้ตัดสินประจำลานประลองที่เจ็ดเอ่ยขึ้นขณะที่ถอนลมหายใจ
เฮือก!
กลุ่มที่เจ็ดตกลงสู่ความโกลาหลในทันใด
“จ้าวฟงเอาชนะจ้าวเฉินกางได้โดยใช้เพียงวิชาระดับพื้นฐาน!”
“เป็นไปไม่ได้! จ้าวเฉินกางถือเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่ม…”
จ้าวฟงชนะการประลองรอบที่สิบห้า นั่นหมายความว่าบัดนี้เขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มแล้ว
ในตอนนั้นเองที่จ้าวเยว่ จ้าวยี่จาง และจ้าวหยูเฟ่ยมองไปยังลานประลองที่เจ็ด
“ขั้นหลอมรวม? ตอนที่ผู้ฝึกตนผู้นั้นมาแนะทาง ข้ารู้สึกราวกับทุกกระบวนท่าของหมัดเหล็กเพลิงหายไปจากสมองของข้า… อาจเป็นเพราะเหตุนี้” เด็กหนุ่มเข้าใจในทันที
เมื่อเขากลับมาจากการแนะทาง เขารู้สึกว่าวิชาระดับพื้นฐานของเขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดที่สามารถรับมือได้กระทั่งผู้มีพลังขั้นเสมือนผู้ฝึกตน และความสามารถของจ้าวเฉินกางนั้นเพียงเกือบจะเข้าขั้นนั้นเท่านั้น
“ไม่เลว ดูเหมือนว่าศิษย์สายนอกจะมีม้ามืดแล้ว” ผู้ตัดสินหลักแย้มยิ้ม
“วิชาระดับพื้นฐาน… แม้ว่าเขาจะฝึกจนกระทั่งเข้าขั้นหลอมรวม แต่เขาจะยังคงแพ้ต่อบุตรชายของข้า จ้าวยี่จาง ไม่ว่าอย่างไรระดับพื้นฐานก็คือระดับพื้นฐาน!” ชายวันกลางคนแย้มรอยยิ้มบาง
“โฮ่?” ผู้ตัดสินหลักเบนสายตาสนใจไปยังชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนผู้นั้นคือบิดาของจ้าวยี่จาง เขาหัวเราะออกมาขณะมองไปยังบุตรชายด้วยสีหน้ามั่นใจ
“จริงอยู่… ความสามารถของวิชาระดับพื้นฐานนั้นมีจำกัด… จ้าวฟงอาจใช้เวลาอย่างมากในการฝึกมันจนกระทั่งเข้าขั้นหลอมรวม นั่นหมายความว่าเขาย่อมไม่มีเวลาที่จะฝึกฝนวิชาอื่น… น่าเสียดายอันใดเช่นนี้” เมื่อเอ่ยขึ้นถึงตอนนี้ ชายชราก็สั่นศีรษะ
“ฮึ่ม! วิชาระดับพื้นฐานขั้นหลอมรวม?” จ้าวยี่จางมองไปยังจ้าวฟงด้วยสายตาเหยียดหยาม ในสายตาของเขาวิชาระดับพื้นฐานนั้นเป็นเพียงแค่ขยะ
เด็กสาวชุดขาวมองไปยังจ้าวฟงด้วยความตื่นตะลึง
“พี่ยี่จาง ท่านต้องเอาชนะเขาให้ได้นะ”
“ซุ่ยเอ๋อร์ อย่าได้กังวล ข้าลำบากอย่างมากก็เพียง 3-10 กระบวนท่า! แต่ข้าจะไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ เช่นนั้น ข้าจะฉีกหน้ามัน” จ้าวยี่จางเอ่ยอย่างมั่นใจ น้ำเสียงของเขานั้นดังจนกระทั่งผู้คนโดยรอบได้ยินมัน
ในตอนนั้นเองที่สายตาของจ้าวฟงจับจ้องไปยังทั้งสอง
สายตาสองคู่สบกัน ดวงตาของจ้าวยี่จางเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ ในขณะที่ดวงตาของจ้าวฟงปรากฏรอยยิ้มอยู่ภายใน
“ 188 vs 233!”
การประลองกลุ่มยังคงดำเนินต่อไป
หลังจากที่จ้าวฟงเอาชนะจ้าวเฉินกางก็ไม่มีคู่ต่อสู้คนใดที่จะสามารถรับมือเขาได้อีก
16… 17… 18…
คนส่วนมากที่เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มล้วนยอมแพ้ และผู้ที่กล้าบ้าบิ่นพอที่จะสู้จะถูกจัดการในหมัดเดียว
“น่าอับอายยิ่งที่ต้องพ่ายแพ้ด้วยวิชาระดับพื้นฐานเช่นนี้!”
เหล่าศิษย์ตระกูลจ้าวมองไปยังจ้าวฟงด้วยสายตาราวกับเด็กหนุ่มมีโรคร้าย
18… 19… 20ครั้งติดต่อกัน!
ในที่สุดจ้าวฟงก็ชนะติดต่อกัน 20 ครั้งและผ่านเข้ารอบต่อไป!